ประวัติศาสตร์ของ LSD กับเรื่องราวของสารดังกล่าวที่ถูกนำไปใช้ใน “การทดลองกับตนเอง”

**** คำเตือน ****

บทความนี้มิได้มีเจตนา ยุยง ส่งเสริม หรือชี้นำให้เกิดการใช้ยา หรือสารเสพติด รวมถึงสารออกฤทธิ์ต่อจิต และประสาทใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการเผยแพร่ข้อมูลจากข้อเท็จจริง และอ้างอิงในประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้น ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านเป็นอย่างยิ่ง และบทความนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี (ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด)

แม้ว่าประสบการณ์จากการใช้ LSD จะกินเวลาเพียงแค่สองชั่วโมง (ถึงแม้ว่าความเป็นจริงในปัจจุบันมันยาวนานกว่านั้นมากกว่าหลายเท่าก็ตาม) ในการพาเขาเข้าไปในมิติของโลกไซคีเดลิก แต่ “อัลแบร์ท โฮฟมัน” (Albert Hofmann) นักเคมีคนสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่ง LSD" ก็ยังรู้สึกทึ่งในพลังแห่งการสร้างสรรค์ผลงานของเขา  และเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ดีคนอื่นๆ เขารู้ดีว่าต้องทำอะไร นั่นก็คือ “การทดลองกับตนเอง (self-experiment)”

เป็นที่ทราบกันดีว่าการใช้ LSD อาจทำให้เกิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แลแปลกจนสุดโลกกันทีเดียว ราวกับว่าไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้ ตั้งแต่ภาพหลอน (hallucinations) ไปจนถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล (oneness with the universe) แม้แต่ผู้ที่ยังไม่เคยทดลองกับสารที่เปลี่ยนจิตใจก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของมัน

บางทีอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เรื่องราวต่างๆ ของ LSD ที่ทำให้มนุษยชาติได้รู้จักมันเป็นครั้งแรก นั้นก็คือ เรื่องราวที่มาจากวิทยาการความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ การทดลองกับตนเอง สงคราม และความแปลกใหม่ทางการแพทย์

———————————————

บทที่ 1 การค้นพบ

เรื่องราวดังกล่าวนี้ได้เริ่มต้นในปีค.ศ. 1938 หนึ่งปีก่อนที่โลกจะถูกลิขิตให้ตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง  ณ เมืองบาเซิล (Basel) ที่งดงามของสวิตเซอร์แลนด์ นักเคมีอายุน้อย และยังไม่มีชื่อเสียงใยขณะนั้น ชื่อ อัลแบร์ท โฮฟมัน (Albert Hofmann) ที่ทำงานอย่างขยันขันแข็งให้กับ แซนดอส แลบอราตอรี่ (Sandoz Laboratories) ซึ่งเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมยาของสวิตเซอร์แลนด์ ที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้สังเคราะห์ยา LSD ในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งเป็นยารักษาโรคทางจิตเวชศาสตร์ โดยมีชื่อทางการค้าว่า ดีไลซิด (Delysid) นอกจากนี้แซนดอสยังเป็นเจ้าแรกที่ผลิตแซกคารีน (saccharin) ใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ในปี ค.ศ. 1996 แซนดอสได้ควบรวมกิจการกับซีบ้า-ไกกี้ (CIBA-Geigy) แล้วตั้งชื่อบริษัทใหม่เป็นโนวาร์ติส (Novartis)

งานของ Hofmann คือ การสังเคราะห์สารเคมีที่พบในเชื้อรา เออร์กอต (Ergot of Rye) หรือสร้างสารประกอบใหม่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  เขาได้สร้างสารประกอบดังกล่าวขึ้นแล้ว 24 ชนิด การทดลองดังกล่าวนั้นเอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นทางเคมีสำหรับเออร์กอต (ergot) กรดไลเซอริก (lysergic acid)—กับโมเลกุลอินทรีย์อื่นๆ

จนถึงขณะนั้นก็ยังล้มเหลวในการค้นหายารักษาตัวที่ต้องการ โดยฮอฟมันน์ (Hofmann) ได้สร้างตัวแปรที่ 25 ซึ่งคราวนี้เชื่อมกรดไลเซอจิก (lysergic acid) กับโมเลกุลที่เรียกว่าไดเอทิลลามีน (diethylamide-25) ด้วยเหตุนี้จึงเกิด lysergic acid diethylamide-25 ซึ่งปัจจุบันเรียกกันทั่วไปว่า LSD-25 หรือเพียงแค่ LSD

น่าเสียดายที่เมื่อตอนแรกมีการทดสอบตัวแปรที่ 25 ในการทดลองกับสัตว์ จากคำพูดของ เขามัน “ไม่ได้กระตุ้นความสนใจเป็นพิเศษในเภสัชกรและแพทย์ของเรา” แม้ว่าสัตว์ที่รับสารนี้จะมีพฤติกรรมแปลก ๆ และตื่นเต้นมากเกินไป

ดังนั้น LSD-25 จึงถูกเก็บเข้าลิ้นชัก โดยถือว่า "ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง"

แม้ว่างานวิจัยของเขาจะดำเนินต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม มันต้องมี LSD-26, LSD-27 และอื่นๆ ตามมา บางอย่างที่เขาเห็นในการทดลองกับสัตว์สำหรับรุ่น 25 ที่ติดอยู่กับ Hofmann เขามี "ความรู้สึกว่าสารนี้สามารถมีคุณสมบัติอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในการหาสาเหตุครั้งแรก"

———————————————

บทที่ 2 การทดลองกับตนเอง (ตัวเขาเอง)

หลายปีต่อมา เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1943 ขณะที่ความน่าสะพรึงกลัวของอุตสาหกรรมด้านสงครามรายล้อมสวิตเซอร์แลนด์ที่เป็นกลาง โดย Hofmann ได้ตัดสินใจสังเคราะห์สารนี้อีกครั้ง ในการกระทำแห่งโชคชะตา เขาดูดซับ LSD จำนวนเล็กน้อยผ่านผิวหนังของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

สิ่งนี้จะลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะการทริปหรือการเดินทางไปยังโลกแห่งไซคีเดลิกด้วย “LSD” ครั้งแรกของโลก

หลายปีต่อมา เขาเขียนในหนังสือของเขา LSD: My Problem Child โดยเขาเล่าว่าในช่วงเวลานี้ เขา “รับรู้ได้ถึงภาพที่น่าอัศจรรย์อย่างต่อเนื่อง รูปทรงพิเศษด้วยการเล่นสีที่เข้มข้น และลานตา”

แม้ว่าประสบการณ์นี้จะกินเวลาเพียงสองชั่วโมง แต่ Hofmann ก็รู้สึกทึ่งในพลังของการสร้างสรรค์ผลงานของเขา และเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ดีคนอื่นๆ เขารู้ดีว่าต้องทำอะไร นั่นคือ “การทดลองกับตนเอง” สามวันต่อมา ในวันที่ 19 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกจะได้จดจำไปตลอดกาล โดยเขาตั้งใจให้ยา LSD-25 แก่ตนเอง แน่นอนว่าเขาเองนั้นก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำพอสมควร ในขณะที่เริ่มใช้โดยการกินสารที่เปลี่ยนความคิดทดลอง

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้ในปริมาณ 250 ไมโครกรัม ในขนาดที่เล็กมาก กล่าวอีกนัยหนึ่ง Hofmann ใช้ปริมาณเพียง 0.00025 กรัม (250 ล้านส่วนของกรัม!) ของ LSD-25 ซึ่งเขาหวังว่าจะเพียงพอสำหรับปริมาณตามเกณฑ์ ปริมาณขั้นต่ำที่จำเป็นเพื่อให้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการรับรู้ แม้จะมีความหวังนี้ เขาก็หวังว่าอาจจะไม่รู้สึกอะไร

น่าเสียดายสำหรับ Hofmann, LSD-25 มีศักยภาพมากกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ดังที่เราทราบตอนนี้ 250 ไมโครกรัมนั้นมีขนาดประมาณ 10 เท่าของขนาดสารตามเกณฑ์! ไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง Hofmann มีผู้ช่วยห้องปฏิบัติการพาเขากลับบ้าน

เนื่องจากสงครามทำให้เกิดการปันส่วนน้ำมันเบนซิน จึงไม่มีรถยนต์ให้บริการ และเขาต้องกลับบ้านด้วยจักรยาน ด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เขาปั่นจักรยานไปตามถนนในบาเซิล ทุกสิ่งทุกอย่างใน “ขอบเขตการมองเห็นของเขาสั่นไหว และบิดเบี้ยวราวกับเห็นในกระจกโค้ง” หลังจากนั้น วันที่ 19 เมษายน จะเป็น “วันแห่งจักรยาน (Bicycle Day)” เพื่อรำลึกถึงการค้นพบ LSD ตลอดไป

พอเมื่อเขากลับถึงบ้าน Hofmann ก็กลัวว่าเขาจะเสียสติ หรือถึงกับชีวิต ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เพื่อนบ้านหญิงของเขาได้กลายเป็น “แม่มดที่ร้ายกาจและร้ายกาจสวมหน้ากากสี” เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเรียกหมอ แต่นอกจากรูม่านตาขยาย แพทย์ของเขาไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

ในท้ายที่สุด บางทีอาจยอมรับชะตากรรมของเขา “ความสยดสยองได้เบาลง ไปจนทำให้เกิดความรู้สึกโชคดีและการขอบคุณ” เมื่อบรรยายประสบการณ์ดังกล่าว เขาจะเขียนในภายหลังว่า “ฉันถูกพาไปยังอีกโลกหนึ่ง ที่อื่น อีกครั้งหนึ่ง ร่างกายของฉันดูไร้ความรู้สึก ไร้ชีวิต ช่างดูแปลกมาก” เช้าวันรุ่งขึ้น Hofmann ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึก “สดชื่น และแจ่มใส” และด้วย “ความรู้สึกของอารมณ์ที่ดี และการมีชีวิตใหม่… อาหารเช้ามีรสชาติที่อร่อย และทำให้ฉันมีความสุขเป็นพิเศษ… ถ้าโลกนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่”

———————————————

บทที่ 3 LSD กลายเป็น ยารักษาโรค

หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบกับสัตว์อื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า "ยามหัศจรรย์ (wonder drug)" ของเขาปลอดภัยจริง ๆ Hofmann ยังคงทดลองกับ LSD-25 กับตัวเองต่อไป เขาทำสิ่งนี้โดยไม่เปิดเผยต่อสาธารณะหรือแม้กระทั่งกับนายจ้างของเขาก็ตาม แต่ทำอย่างลับๆ ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทสองคน ในเวลานั้น เป้าหมายหลักของเขาคือ "เพื่อตรวจสอบอิทธิพลของสภาพแวดล้อม สภาพภายนอก และภายในที่มีต่อประสบการณ์ LSD" กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดเรื่อง “Set and Setting” เลยก็ว่าได้ ซึ่งในที่สุดหลังจากค้นพบศักยภาพในการรักษาจากการสร้างสรรค์ผลงานของเขา Hofmann ได้แบ่งปันความลับของเขากับนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ ในช่วงปีค.ศ. 1960 ทำให้ LSD ได้รับการวิจัยอย่างจริงจังเพื่อรักษาโรคทางจิตเวชต่างๆ ตั้งแต่ความวิตกกังวล (anxiety)ไปจนถึงภาวะซึมเศร้า (depression) โรคจิตเภท (schizophrenia) โรคพิษสุราเรื้อรัง (alcoholism) และอื่นๆ

ในปีค.ศ. 1965 มีผู้ป่วย 40,000 รายได้รับ LSD และมีการตีพิมพ์ลงในเอกสารทางวิชาการต่างๆมากกว่า 1,000 ฉบับที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ในการศึกษาหนึ่งพบว่า 40-45% ของผู้ติดสุราขั้นรุนแรงยังคงงดเว้นการใช้สุราไปได้เป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากการใช้ LSD แต่น่าเสียดายที่ LSD ได้หลุดออกไปจากห้องทดลอง และถูกใช้อย่างกว้างขวางในช่วงของการต่อต้านวัฒนธรรม และโดยนักเคลื่อนไหวการต่อต้านสงคราม ด้วยเหตุนี้จึงมีการรณรงค์ทางการเมืองต่อต้านเนื้อหาขยายความคิด และ LSD ถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อสังคมทำให้เยาวชนเสียหาย

แม้จะมีหลักฐานทางคลินิกที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถใช้เป็นยารักษาได้ แต่ในปีค.ศ. 1968 ที่อยู่ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดี ริชาร์ด มิลเฮาส์ นิกสัน (Richard Milhous Nixon) ได้ทำให้ LSD และสารไซคีเดลิกอื่น ๆ ผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่หยุดชะงักลงโดยทันที

การถูกสั่งห้าม หรือการแบนในครั้งนั้น ทำให้การศึกษา LSD ต้องถอยหลังย้อนกลับไปหลายทศวรรษ และจนกระทั่งกลางปีค.ศ. 2010 การวิจัยอย่างจริงจังเกี่ยวกับสารนี้เริ่มมีกระแสตอบรับที่ดี ในปีค.ศ. 2014 การศึกษาเล็กๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก MAPS (องค์กรไม่แสวงหากำไร) พบว่ามีประโยชน์ในการรักษาด้วยการใช้ LSD ซึ่งเสมือนกับว่า โลกได้ทำการเปิดประตูระบายน้ำแห่งการวิจัยขึ้นได้อีกครั้ง

ในปัจจุบันนี้มีการทดลองทางคลินิกหลายสิบครั้งที่กำลังพิจารณาสำหรับ LSD ในการรักษาทุกอย่างตั้งแต่ภาวะซึมเศร้าไปจนถึงไมเกรน

โดยในการศึกษาล่าสุด LSD ถูกใช้เพื่อรักษาโรควิตกกังวล (anxiety disorders) น่าประหลาดใจที่การศึกษาพบว่าผู้ป่วย 65% เห็นว่าระดับความวิตกกังวลลดลงอย่างน้อย 30% จากที่เคยเป็นก่อนการรักษา แม้จะนานถึง 16 สัปดาห์หลังการให้สารดังกล่าว การศึกษาครั้งนี้ได้ดำเนินการ (อย่างน้อยก็ในบางส่วน) ในชะตากรรมเดียวกัน ในเมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

หากผลลัพธ์ทางคลินิกที่น่าประทับใจเหล่านี้สามารถทำซ้ำได้ ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่ “เด็กเจ้าปัญหา” ของ Hofmann จะถูกนำไปใช้เป็นยารักษาดังกล่าวอย่างแพร่หลายอีกครั้ง

เขาเปรียบเทียบ LSD เป็น เด็กเจ้าปัญหา หรือจริงๆ แล้วในภาษาอังกฤษ มันคือ “Problem Child” เป็นสำนวนสั้นๆที่เปรียบเทียบกับสิ่งที่มีศักยภาพสูง แต่ผลงานต่ำ ไม่ได้เป็นไปตามศักยภาพ จึงอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา ไม่ชอบการถูกบังคับ ชอบงานอิสระ ต้องมีเหตุผล ควรจะให้ความรักก่อนให้ความรู้ ซึ่งจะมีส่วนสร้างแรงผลักดันให้สิ่งเหล่านี้เป็นที่เชื่อมั่นตัวผู้ใช้เอง อะไรทำนองนี้

อ้างอิง

Benjamin Breen, Albert Hofmann Discovers LSD, April, 2013

https://origins.osu.edu/.../april-2013-albert-hofmann...

Dominic Umile, In 1943, a scientist took a bike ride on LSD. Brian Blomerth illustrates his historic trip, June 26, 2019

https://www.latimes.com/.../la-ca-jc-bicycle-day-brian...

Drug Policy Alliance, What is the cultural history of LSD?, January 2017

https://drugpolicy.org/.../default/files/LSD_Facts_Sheet.pdf

James Hallifax, The History of LSD: A Story of Self-Experimentation, June 8, 2022

https://psychedelicspotlight.com/the-history-of-lsd-a.../

John Horgan, Doubts about psychedelics from Albert Hofmann, LSD's discoverer, September 24, 2010

https://blogs.scientificamerican.com/.../doubts-about.../

Juan José Fuente and Other, Therapeutic Use of LSD in Psychiatry: A Systematic Review of Randomized-Controlled Clinical Trials, Front. Psychiatry, 21 January 2020

https://www.frontiersin.org/.../10.../fpsyt.2019.00943/full

Mo Costandi, A brief history of psychedelic psychiatry, Tue 2 Sep 2014

https://www.theguardian.com/.../02/psychedelic-psychiatry

MAPS, LSD Study Breaks 40 Years of Research Taboo, May 4, 2014

https://maps.org/.../maps-press-release-lsd-study-breaks.../

Tom Shroder, 'Apparently Useless': The Accidental Discovery of LSD, September 9, 2014

https://www.theatlantic.com/.../the-accidental.../379564/

First look at LSD in action reveals acid-trip biochemistry | Nature