หลายประเทศจัดแอลเอสดี เป็นยาเสพติดประเภท 1 มีอันตรายร้ายแรง ทั้งยังเกี่ยวโยงกับกลุ่มต่อต้านอำนาจรัฐในอดีต ผู้ค้นพบแอลเอสดีจึงเรียกยานี้ว่า 'เด็กเจ้าปัญหา' แต่นักเคมียุคหลังเชื่อว่า นี่คือยาที่อาจพัฒนาไปใช้บำบัดคนในสังคมได้

อัลเบิร์ต ฮอฟมานน์ นักเคมีชาวสวิส เสียชีวิตไปแล้วต้ังแต่ปี ค.ศ. 2008 แต่เขาได้ทิ้งบันทึกรายละเอียดการทดลองและคำบรรยายประสบการณ์ส่วนตัวจากการใช้ 'แอลเอสดี' หรือ lysergic acid diethylamide (LSD) เอาไว้ หลังจากที่ได้เขารู้ว่าแอลเอสดีมีคุณสมบัติ 'หลอนประสาท' ในระหว่างการทดลองสารเคมีให้กับบริษัทยา 'ซานดอส' ในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 1943

การค้นพบว่าแอลเอสดีมีฤทธิ์หลอนประสาท ส่งผลให้เคลิ้มฝัน และมองเห็นภาพในหัวอย่างมีสีสันฉูดฉาดผิดไปจากความเป็นจริง เกิดจากการทดลองของฮอฟมานน์และเครือข่ายนักเคมี รวมถึงเจ้าของบริษัทยาที่เขาเคยทำงานให้ และเมื่อข้อมูลเกี่ยวกับฤทธิ์แอลเอสดีถูกเผยแพร่ออกไปสู่คนภายนอก ทำให้มีการนำแอลเอสดีไปใช้ในกลุ่มคนหนุ่มสาวของประเทศแถบตะวันตก

กลุ่มฮิปปี้ หรือ 'ขบวนการบุปผาชน' ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้านการทำสงครามเวียดนามของรัฐบาลในยุคทศวรรษ 1960 เป็นกลุ่มหนึ่งที่ใช้แอลเอสดีกันอย่างแพร่หลาย แต่กระแสการเสพแอลเอสดียังได้กลายเป็นแรงจูงใจของงานศิลปะและดนตรีสมัยใหม่ที่มีอิทธิพลในฝั่งโลกตะวันตกในยุคนั้นอีกด้วย

AFP-ศิลปะไซคีเดลิก-ผลข้างเคียงของแอลเอสดี-LSD-summer of love-ขบวนการฮิปปี้-บุปผาชนอเมริกัน

  • ศิลปะไซคีเดลิกและกิจกรรมดนตรีของฮิปปี้ในสหรัฐฯ ได้รับอิทธิพลจากการใช้แอลเอสดี

แอลเอสดีกลายเป็นส่วนหนึ่งของ 'วัฒนธรรมขบถ' ได้ไม่นาน รัฐบาลของ 'ริชาร์ด นิกสัน' อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ประกาศให้แอลเอสดีเป็นยาเสพติดประเภท 1 ที่ผิดกฎหมาย มีอันตรายร้ายแรง พร้อมตั้งเป้ากวาดล้างผู้ค้า ผู้เสพ และผู้มีแอลเอสดีในครอบครอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกกลุ่มฮิปปี้ที่เคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนาม หรือไม่ก็ผู้วิพากษ์วิจารณ์การทำตัวเป็น 'ตำรวจโลก' ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้มีผู้มองว่าคำประกาศให้แอลเอสดีเป็นยาเสพติดให้โทษของรัฐบาลนิกสัน มาจากความต้องการกวาดล้างผู้ต่อต้านรัฐบาล